มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า “อย่างไรก็บ้านเรา” ซึ่งมีความหมายนำนองที่ คนเราไม่ว่าจะเที่ยวไปอย่างหัวหกก้นขวิดอย่างไร
สุดท้ายก็ขอกลับมาตั้งหลักที่บ้านดีกว่า
ศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมประเทศไทยได้สอบถามเยาวชนถึงทัศนคติของเขาต่อบ้าน
โดยตั้งคำถามว่า “ท่านชอบอยู่บ้านไหม”
เยาวชนอายุ
15-20 ปีจำนวน 466 คนให้คำตอบทั้งสิ้น 460 คำตอบ ในคำตอบทั้งหมดร้อยละ 70 ตอบว่า “ชอบ” ร้อยละ 16 ตอบว่า “ชอบบางครั้ง” และร้อยละ 10 ตอบว่า
“ไม่ชอบ” ส่วนที่เหลือเป็นคำตอบอื่น ๆ
เช่น แล้วแต่อารมณ์ เฉย ๆ ฯลฯ
บ้านในที่นี้
อาจจะหมายถึง ตัวอาคารหรือความผูกพันก็ได้
ถ้าเป็นตัวอาคารพ่อแม่มีเงินก็สร้างให้ถูกใจลูก ๆ ได้ง่าย แต่ถ้าหมายถึง
ความผู้พันนี้ทุกคนในบ้านต้องร่วมมือกันสร้าง
สถาบันครอบครัวมีความสำคัญอย่างมาก
เราคงได้ยินคำว่า “ครอบครัวศักดิสิทธิ์” บ่อย
ๆพระศาสนจักรปรารถนาจะให้ทุกครอบครัวยึดเอาครอบครัวของพระเยซูเจ้าเป็นรูปแบบในการดำเนินชีวิต
นอกจากนั้นยังเรียกครอบครัวว่าเป็น
“พระศาสนจักรบ้าน” หรือบ้านคือ “วัดน้อย ๆ”นั้นเอง
บ้านหรือครอบครัวคริสตชนเป็นสถานที่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันของบุคคลต่าง
ๆ เป็นเครื่องหมายและรูปแบบการมีชีวิตร่วมกันของพระตรีเอกภาพ คือ พระบิดา
พระบุตรและพระจิต ครอบครัวเป็นที่ให้กำเนิดและให้การอบรมศึกษาแก่บุตร
เป็นภาพสะท้อนของผลงานแห่งการสร้างสรรค์ของพระบิดาครอบครัวนั้นได้รับเรียกให้มีส่วนร่วมกันในการภาวนา
และการถวายบูชาของพระคริสตเจ้า
การสวดภาวนาประจำวันและการอ่านพระวาจาของพระเจ้าทำให้ความรักในครอบครัวเข้มข้นขึ้น
และครอบครัวจะต้องเป็นผู้เผยแพร่พระวรสาร
ความสัมพันธ์ในอ้อมกอดของครอบครัวก่อให้เกิด
“ความผูกพันทางใจ”
ต่อสมาชิกทุกคนครอบครัวจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งประสบการณ์ต่าง ๆ ของคนเรา
ความสุขทุกข์ในครอบครัวเป็นร่องรอย ในชีวิตที่สามารถลบเลือนได้
ภาระหน้าที่ของผู้นำครอบครัวจึงเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่
ยิ่งใหญ่เท่าไรยิ่งต้องพึ่งพาพระเจ้ามากเท่านั้น ดังนั้นครอบครัวจะต้องยึดพระเจ้าเป็นหลักมั่นไว้เสมอ
บ้านจะเป็นวิมาน
ต้องมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง
“ครอบครัวที่สวดภาวนาและร่วมมิสซาบูชาฯพร้อมกัน
ครอบครัวนั้นจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น